Search Engine Optimization (SEO)คือ กระบวณการปรับแต่งโครงสร้างเว็บไซต์ การปรับโครงสร้างโค้ด ปรับความเร็วในการเข้าถึงเว็บไซต์ รวมไปถึงการกำหนดเนื้อหา ให้เป็นไปตามเป้าหมายที่ต้องการ ค้นหาของเว็บ Search Engine (เครื่องมือค้นหา) ต่าง ๆตัวอย่าง เช่น Google ซึ่งผลลัพธ์ปรับแต่งเว็บไซต์ของการทำ SEO จะทำให้เว็บไซต์ของคุณ ติดอันดับอยู่ในลำดับต้นแรก ๆ ที่มีความน่าสนใจ ด้วยคีย์เวิร์ด (Keyword) หรือคำที่ใช้ในค้นหาที่คุณต้องการและมีเกี่ยวเนื่องกับธุรกิจของคุณ
ในส่วนของการแสดงผลลัพธ์ เว็บไซต์จะปรากฏบนเว็บ Search Engine ทางด้านซ้ายของ Search Engine ซึ่งการแสดงผล จะแสดงหน้าละ 10 อันดับ หน้าแรก (อันดับ 1-10) และ หน้าที่สอง (อันดับ 11-20) ซึ่งการทำ Search Engine Optimization ที่ดีและได้ผลนั้นเว็บที่ทำ Search Engine Optimization ควรที่จะอยู่หน้าแรก แต่ไม่ควรอยู่เกินหน้าที่ 2 ซึ่งจะได้รับการเข้าเยี่ยมชม บ่อยครั้งมากที่สุด ยิ่งอันดับสูงมากเท่าไร อัตรการคลิกเข้าสู่เว็บก็สูงขึ้น และจะส่งผลต่อยอดขาย ที่เพิ่มขึ้นอีกด้วย
หากต้องการธุรกิจของคุณ ปรากฎบน Search Engine Optimization ควรจะกำหนดเป้าหมายการค้นหาก่อน ว่าจะให้เว็บไซต์แสดงที่ผลการค้นหา Keyword โดยเริ่มจากการที่คิดว่า ถ้าผู้ใช้จะเข้ามาที่เว็บไซต์ของคุณ เขาจะทำการค้นหา Google ด้วย Keyword ที่เขาต้องการที่จะรู้ เมื่อได้ชุดของ Keyword แล้ว คุณสามารถกำหนดและตรวจสอบด้วยเครื่องมือ Google Keyword Planner ได้ว่า Keyword แต่ละคำมีประวัติการค้นหาประมาณมากน้อยเท่าไร
และมีสภาพการจัดอันดับกับเว็บอื่น ๆ มากน้อยหรือไม่ ลำดับถัดไป เมื่อเลือก Keyword ที่มีปริมาณการค้นหาที่คุ้มค่าเป็น Keyword ชุดหลักที่เราที่จะทำใช้ Search Engine Optimization จะเน้นการทำเว็บไซต์ให้มีคุณภาพ ให้ข้อมูลที่ตรงกับ Keyword ที่ใช้ค้นหาจึงสามารถส่งผลในการทำ SEO ใน Search Engine อื่น ๆ อีกด้วย

SEO คืออะไร ?
SEO คือ (Search Engine Optimization) อธิบายให้เข้าใจกันแบบภาษาชาวบ้าน SEO คือ การทำเว็บไซต์ให้ Search Engine อย่าง Google ชอบ จนถูกยกให้เป็นตำแหน่งลูกรัก
ซึ่งการบอกว่าเว็บไซต์ของคุณเป็นลูกรักของ Google ก็คือ มอบของรางวัลเป็นตำแหน่งดีๆ บนหน้า SERP (Search Engine Result Page) ทำให้เวลาคนกดค้นหาคำ Keyword ใน Google แล้วเจอกับเว็บไซต์ของคุณได้ง่ายมากขึ้น
ซึ่งนี่จะทำให้ยอด Traffic ของกลุ่มเป้าหมายที่ต้องการพุ่งสูงขึ้นแบบไม่ต้องเสียเงินโฆษณามากมาย แถมยังเปิดโอกาสให้ธุรกิจได้ยอดขายจากการเรียก Traffic เหล่านี้มาได้มากขึ้นอีกด้วย
และแน่นอนว่า จะเป็นลูกรักได้ก็ต้องทำตัวดีตามที่ Google กำหนด (ซึ่งก็มีมากมายหลายข้อด้วยกัน) แต่เดี๋ยวแมวส้มจะบอกให้ว่าทำแบบไหนบ้างในหัวข้อต่อๆ ไปให้ได้รู้กันนะ
SEO หมายถึงอะไร?
Search = คือการค้นหา
Engine = เครื่องมือการค้นหาEngine
Optimization = คือการปรับแต่ง
ข้อสรุป SEO คืออะไร?
SEO หมายถึง เครื่องมือการค้นหาและการปรับแต่งให้เว็บไซต์ของเรา ถูกหลักของ Google นั่นเอง
ซึ่งปัจจุบัน Google มีวิธีการจัดอันดับมากกว่า 300 ปัจจัย แต่จริง ๆ แล้ว สำหรับตัวผมเอง การทำ SEO คือ การแก้ไขปัญหาให้กับผู้ใช้งานเพื่อที่จะให้ ผู้ใช้งานได้รับข่าวสาร และสิ่งที่ต้องการกลับไป เท่านั้นเองครับ
ในกรณีที่เราทำถูกต้อง ทำตามกฏของ Google ก็เพียงพอต่อการทำอันดับได้แล้วครับ !
แต่การที่ผมจะพูดแบบนี้มันก็เหมือนจะดูง่ายจนเกินไป . . เพราะการทำ SEO นั้นมีปัจจัยอะไรหลากหลายครับ เดียวเรามาขยายความกันต่อ .. ดีกว่าครับ จะได้เข้าใจกระบวนการทำ SEO มากยิ่งขึ้น
วิธีการทำ SEO (Search Engine Optimization)
ปัจจัยหลัก ที่ส่งผลต่อ การทำ Search Engine Optimization

- 1. Description หรือ คำอธิบายของหน้าเว็บไซต์
- 2. ชื่อเว็บไซต์ หรือ คุณภาพโดเมนเนม
- 3. Content หรือ เนื้อหาของเว็บไซต์ ต้องเขียนขยาย
- description อีกทีนึงให้รายละเอียดที่ครบถ้วน
- 4. Title หรือชื่อจำกัดความของหน้าเว็บไซต์
- 5. คุณภาพของบทความ และเนื้อหา
- 6. Keyword หรือ คำค้นหาที่เกี่ยวข้องกับเว็บไซต์ และต้องตรง
- กับ keyword ที่เราต้องการทำ Search Engine Optimization
- 7. ความน่าเชื่อถือของโครงสร้างเว็บไซต์ และความปลอดภัย
ประโยชน์ที่ได้รับจากการทำ SEO มีอะไรบ้าง
- 1. สามารถทำให้ได้กลุ่มลูกค้า ที่ตรงตามกลุ่มเป้าหมายที่กำหนดไว้
- 2. สามารถโปรโมทเว็บไซต์ได้ตลอด 24 ชั่วโมง
- 3. สร้างความน่าเชื่อถือให้กับเว็บไซต์
- 4. ทำให้เว็บไซต์ติดอันดับบนเว็บเสิร์ชเอ็นจินได้
- 5. ช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายในการทำการตลาด
- 6. ทำให้เว็บไซต์ของคุณง่ายต่อการค้นหาบน Google


SEO VS SEM
เมื่อได้ยินคำว่า SEO ก็ต้องได้ยินอีกคำหนึ่งที่มักจะมาคู่กันเลยก็คือคำว่า SEM แล้ว SEO กับ SEM ต่างกันยังไงล่ะ?
อย่างที่แมวส้มบอกไปแล้วว่า SEO คือ วิธีการทำให้เว็บไซต์ของคุณติดอันดับต้นๆ บนหน้า Search Engine อย่าง Google ด้วยวิธี Organic ไม่เน้นเสียเงิน แต่เน้นทำให้เว็บไซต์มีคุณภาพตามที่ Google กำหนด เช่น ทำให้เว็บไซต์โหลดเร็ว, มี UX/UI ที่ดีต่อ User Experience, ทำคอนเทนต์ที่มีคุณภาพ ฯลฯ
ส่วน SEM หรือ Search Engine Marketing คือ บ้านหลังใหญ่ที่ครอบคลุมคำว่า SEO และ PPC
การทำ SEO
- การทำ SEO จะแตกต่างออกไปครับ เพราะมีเงินก็ไม่สามารถซื้อตำแหน่งได้ครับ ทุกสิ่งทุกอย่างการทำอันดับ จะขึ้นอยู่ที่ Keyword , Content รวมถึงการทำ Backlink ซึ่งกระบวนการทำ SEO จะต้องใช้ระยะเวลาในการทำอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ในระยะยาวนั่นเองครับ
เทคนิคการทำ SEO ในสมัยนี้ ก็ไม่ได้ยากเหมือนเมื่อก่อนครับ เพียงแค่คุณปรับปรุง Content ให้ตอบโจทย์ผู้ใช้งาน รวมถึงการสร้าง เนื้อหาที่สดใหม่ และหมั่นหาพันธมิตร หรือ Backlink ที่มีความน่าเชื่อถือ เข้ามาในเว็บไซต์เรื่อย ๆ และคอยเพิ่มประสิทธิภาพเว็บไซต์จนทำให้ Google เห็นว่าเว็บของเรานั้น มีประโยชน์กับผู้ใช้งาน เพียงเท่านี้การทำอันดับ
การทำ Google Ads
- เป็นวิธีการที่เราไปซื้อโฆษณาเพื่อให้เว็บของเราขึ้นไปแสดงบน Google ซึ่งขั้นตอนก็ไม่ได้มีอะไรซับซ้อน มีหน้า Landing Page เลือกพื้นที่ หรือกลุ่มเป้าหมาย ก็สามารถลงโฆษณาได้ทันทีครับ
ซึ่งตำแหน่งบนหน้า Google จะมีทั้งหมด 7 ตำแหน่ง คือบน 4 ล่าง 3 ซึ่งการทำ Google Ads จะนับเป็นแบบ CPC (ต้นทุนต่อคลิก) เป็นเมทริกซ์ที่คำนวณจำนวนเงินที่แบรนด์จ่ายสำหรับยอดคลิกโฆษณาและใช้เพื่อช่วยกำหนดคุณภาพและกำไรจากโฆษณา - ส่วนคำว่า PPC ที่หมายถึง การทำ Paid Traffic หรือการยิง Google Ads ซึ่งเป็นการซื้อโฆษณาผ่าน Google ทำให้ผลลัพธ์การทำโฆษณาในรูปแบบต่างๆ เช่น Google Display Network (GDN), YouTube Ads, Search Ads ฯลฯ ไปปรากฏบนแพลตฟอร์มต่างๆ ทั้งบน Google เองและเครือข่ายของ Google
ดังนั้น SEM จึงหมายถึง วิธีการทำการตลาดบนระบบ Search ที่รวมทั้ง Organic Traffic (SEO) และ Paid Traffic (PPC) เข้าไว้ด้วยกันนั่นเอง

ทํา SEO ให้ติดอันดับ 1 Google ได้อย่างไร ?
อยากทำ SEO ให้ติดอันดับ 1 หรือเรียกได้ว่าเป็นลูกรักของ Google กันทั้งนั้นใช่ม้า~ แต่การที่จะทำอันดับแบบ Organic ได้เนี่ยก็ไม่ใช่เรื่องง่ายขนาดนั้น คุณจำเป็นต้องเรียนรู้ก่อนว่า SEO นั้นมีองค์ประกอบอะไรสำคัญๆ บ้าง ซึ่งคุณจะต้องโฟกัสในการทำเรื่องเหล่านี้ให้ดีถึงจะช่วยในการทำอันดับสู่หน้า 1 ได้ โดยองค์ประกอบที่แมวส้มพูดถึงนี้ก็มีอยู่ 3 ส่วนหลักๆ ด้วยกัน ได้แก่
การทำ On-Page SEO
On-Page SEO คือ การปรับปรุงสิ่งต่างๆ บนหน้าเว็บไซต์ให้ถูกอกถูกใจ Google ซึ่งช่วยให้ผู้ใช้งานว่าหน้าเพจนี่เกี่ยวข้องกับอะไรบ้าง
ยกตัวอย่างสิ่งที่ต้องปรับบน On-Page ของเว็บไซต์ เช่น
- ปรับ Title Tag คือ ชื่อเรื่องของบทความให้สั้น กระชับ และมี Keyword ที่เกี่ยวข้อง
- ปรับ Meta Description ของบทความให้เข้าใจง่าย และมี Keyword ที่เกี่ยวข้อง
- ปรับ SEO Friendly URLs ให้สั้น กระชับ และเข้าใจง่าย
- ปรับ Alt Text ของรูปภาพให้มี Keyword และคำอธิบายรูปภาพที่ชัดเจน
- ปรับ Internal Links ในบทความด้วยการทำลิงก์ที่เกี่ยวข้องภายในเว็บไซต์ให้เชื่อมโยงถึงกัน
- ปรับ External link ในบทความไปยังเว็บไซต์ที่มีคุณภาพและเกี่ยวข้องกับเว็บไซต์ของคุณ
- ปรับ Heading Tag ให้เรียงตามลำดับความสำคัญ เริ่มตั้งแต่ H1, H2, H3, …
การทำ Off-Page SEO
Off-Page SEO คือ เทคนิคการทำให้เว็บไซต์มีอันดับที่ดีขึ้นด้วยปัจจัยภายนอก หรือที่เราเรียกว่าการทำ Backlink จากเว็บไซต์อื่น โดยทำการอ้างอิงเนื้อหามายังเว็บไซต์เรา หรือจะใช้แพลตฟอร์มอื่นๆ เช่น Social Media ต่างๆ ในการพูดถึงเว็บไซต์ร่วมด้วยก็ช่วยทำให้ Off-Page SEO แข็งแรงมากขึ้นได้
การทำ Technical SEO
Technical SEO คือ การปรับปรุง SEO ในเชิงเทคนิค ทั้งปรับแต่ง แก้ไข และปรับปรุงให้เว็บไซต์เป็นไปตามเกณฑ์ที่ Google ชอบ ในส่วนนี้ไม่เกี่ยวข้องกับเนื้อหาบนเว็บไซต์หรือนอกเว็บไซต์ แต่จะเกี่ยวกับการทำให้ Google มองโครงสร้างของเว็บไซต์ได้แบบทะลุปรุโปร่ง ทำให้เก็บข้อมูลได้ง่าย และส่งผลต่อการจัดอันดับด้วย เช่น การทำ XML Sitemap, การทำ Page Speed, การ Disavow Link เป็นต้น
ขั้นตอนการทํา SEO ที่แนะนำ
เอาจริง ๆ ทุกวันนี้ก็ไม่มีใครรู้แน่ชัดเลยว่า ปัจจัยในการทำอันดับบน Google ที่สามารถทำให้ขึ้นได้ 100 % นั้นมีอะไรบ้าง แม้แต่พนักงาน Google ระดับสูง ก็ยังไม่สามารถ คอนเฟิร์มได้
ใครที่เป็นมือใหม่ แล้วไม่แน่ใจว่าจะเริ่มต้นทำ SEO อย่างไรดี แนะนำให้ทำตามขั้นตอนของแมวส้มทั้ง 8 ขั้นตอนด้านล่างนี้เลย รับรองว่า ช่วยเป็น Guidline ที่ทำให้คุณทำเว็บไซต์ให้ Google ชอบด้วย SEO ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้นแน่นอน!

เรียนรู้การทำงานของ Google Bot
จะทำ SEO ได้แบบเซียนๆ ก็ต้องเข้าใจวิธีการทำงานของ Google ก่อน เพราะ Google เองเขาก็มีวิธีในการเข้ามาเก็บข้อมูลและนำไปจัดอันดับด้วยเหมือนกัน
ซึ่งถ้าเราไม่รู้ ก็คงเดาใจ Google ไม่ถูกว่าจะทำยังไงให้ Google เข้ามาดูเว็บไซต์และเก็บข้อมูลไปจัดอันดับ ซึ่งวิธีการทำงานของ Google จะใช้สิ่งที่เรียกว่า Google Bot เข้ามาเก็บข้อมูล โดยจะแบ่งออกเป็น 3 ขั้นตอน ดังนี้
- Crawling : Google Bot จะเข้ามาเก็บข้อมูลบนเว็บไซต์ตาม Urls ต่างๆ และส่งข้อมูลกลับมาให้ฐานข้อมูล
- Indexing : หลังจากที่ข้อมูลเข้ามายังฐานข้อมูลแล้ว ก็จะเป็นขั้นตอนของการจัดทำดัชนี เหมือนกับการนำหนังสือเข้ามาจัดเรียงเอาไว้ในห้องสมุดขนาดใหญ่ ถ้าเว็บไซต์ได้รับการจัดทำดัชนีแล้วก็จะมีโอกาสถูกคนค้นหาเจอได้มากขึ้น
- Ranking : Google จะนำข้อมูลที่จัดเก็บไว้มาจัดเรียงอันดับ และคัดเลือกผลลัพธ์ที่ดีที่สุดขึ้นมาไว้ในหน้าแรกๆ และนี่แหละคือ อันดับที่คนทำ SEO ต้องการ
ทำความเข้าใจเรื่อง Goal ของการทำ SEO
เข้าใจถึงหลักการทำงานของ Google ไปแล้ว เรามาทำความเข้าใจกันว่า Goal ของการทำ SEO นั้นควรที่จะกำหนดไว้อย่างไร เพื่อให้การทำอันดับบน Google ไม่ได้นำพามาแต่ Traffic แต่ยังตรงต่อวัตถุประสงค์ในด้านอื่นๆ กลับมาด้วย โดยการตั้ง Goal จะแบ่งออกเป็น 3 ส่วน ดังนี้
วาง Process goal
สำหรับขั้นสุดท้ายของการตั้ง Goal จะเป็นเป้าหมายของการกระทำที่เราสามารถควบคุมได้ 100% ซึ่งทำเพื่อให้บรรลุ Outcome goal และ Performance goal ที่วางไว้ เช่น
คุณตั้งเป้าว่าจะต้องทำ SEO ให้ติดอันดับ 1 ใน 3 อันดับแรกสำหรับ [คำหลักที่มีมูลค่าสูง] ใน 6 เดือน โดยการวัดผลผ่าน SEO Tools เช่น Ahrefs และมีเป้าหมายที่ช่วยทำให้สำเร็จ Outcome goal ได้ด้วยการทำ Backlink คุณภาพสูงจำนวน 40 รายการมายังเว็บเพจภายใน 6 เดือน
แล้วจะทำอย่างไรให้ได้ Backlink กลับมาถึง 40 รายการในระยะเวลา 6 เดือน ส่วนนี้แหละที่เป็น Process goal ที่ต้องวางเพิ่ม เช่น ใช้การส่งอีเมล เพื่อเผยแพร่ประชาสัมพันธ์เว็บไซต์ โดยจะต้องทำการคำนวณว่า ต้องส่ง Email ทั้งหมดเท่าไหร่ ถึงจะได้รับ PR Content กลับมายังเว็บไซต์ ยกตัวอย่างเช่น ปกติคุณได้รับ Conversion rate ในด้านการตอบรับว่าจะลงคอนเทนต์ให้จากการส่งอีเมลอยู่ที่ 5%
คิดว่าคุณต้องการ 40 backlinks / 5% Conversion rate = คุณต้องส่งทั้งหมด 800 อีเมล
แสดงว่าเฉลี่ยต่อเดือนคุณจะต้องทำการส่งอีเมลอยู่ที่ 800 อีเมล/ 6 เดือน = ~133 emails/month
1.ทำการวิเคราะห์เว็บไซต์
มาต่อกันที่ส่วนสำคัญหนึ่งที่เกี่ยวข้องกับการทำ SEO แล้ว นั่นคือ การวิเคราะห์เว็บไซต์ว่า ในปัจจุบันนี้มี Performance เป็นยังไงบ้าง โดยใช้เครื่องมือที่ชื่อว่า Pagespeed Insight ในการเช็กได้เลยว่า เว็บไซต์ในภาพรวมที่จุดไหนที่สามารถปรับปรุงได้บ้าง เช่น ไฟล์รูปมีขนาดใหญ่, Server ช้า, มี CSS/Java Script ที่ไม่จำเป็นหรือเปล่า เป็นต้น (เรื่องนี้สำคัญมากๆ เลยนะ เพราะเกี่ยวข้องกับเรื่อง Core Web Vitals ด้วย)

สรุป ความสำคัญของการทำ SEO
กลยุทธ์สำหรับการทำ Search Engine Optimization ให้ประสบความสำเร็จ คือ “การทำ Search Engine Optimization ให้คุณทำให้เป็นตัวเอง โดยคำนึงถึง User (ผู้ใช้งาน) เป็นหลัก” จะทำให้ได้เว็บไซต์ที่มีคุณภาพอย่างแท้จริง และติดอันดับอย่างยั่งยืน